วิดีโอ
สรุป
Homeopathy หรือการแพทย์ทางเลือกเป็นประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาถกเถียงบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นทางเลือกในการรักษาที่ได้รับความนิยมมากทางหนึ่ง
ในขณะที่บางคนไม่เห็นด้วยกับการรักษาวิธีนี้ แต่ก็ยังมีบางคนที่อ้างในสรรพคุณการรักษาอันดีเยี่ยมของมัน
แล้ว Homeopathy มันคืออะไรล่ะ?
ทำไมมันถึงกลายเป็นกลายเป็นการแพทย์ทางเลือกที่ได้รับความนิยมเหมือนทุกวันนี้ล่ะ?
แล้วเราจะเอามันไปประยุกต์ใช้กับยาแผนปัจจุบันได้อย่างไร?
หลักการอย่างแรกของ Homeopathy คือ “หนามยอกเอาหนามบ่ง”
โดยยาที่ใช้รักษานั้นจะผลิตมาจากตัวการที่ทำให้เกิดโรคนั้นๆในตอนแรก
ในทางปฎิบัติ นั่นหมายความว่ายาที่ใช้ในการลดไข้จะผลิตมาจาก belladonna ที่เป็นพืชที่ทำให้เกิดไข้ในมนุษย์
หรือยาลดอาการปวด บวม ที่ผลิตมาโดยใช้สารสกัดจากพิษในเหล็กในของผึ้ง
หลักการข้อที่สอง คือ วิธีการพิเศษในการเตรียมยารักษาซึ่งเรียกว่า potentization
หลักการของมันคือการเจือจางสารตั้งต้นและปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกันซึ่งทำให้ตัวยามีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น
เริ่มโดยการนำสารตั้งต้นมาทำละลายในน้ำกลั่นหรือแอลกอฮอล์
ต่อมาคือการทำ Homeopaths ซึ่งทำได้โดยการเจือจางสารละลายกับน้ำด้วยอัตราส่วนสารละลายต่อน้ำเป็น 1:9
ทำให้สารละลายเจือจางลงจนเหลือความเข้มข้นแค่ 10% จากเดิมและทำการเขย่าสารละลาย
ตอนนี้เราก็จะได้ยาที่มีความเข้มข้นระดับ 1 X
โดยมีสารตั้งต้น 1 ส่วนและน้ำอีก 9 ส่วน
ได้ชื่อ 1X มาจากเลขโรมัน(X=เลข10ในเลขโรมัน)
แล้วก็ทำซ้ำๆกันต่อไปเรื่อยๆ
นำสารละลายมาหนึ่งส่วน(ที่ผสมกับน้ำแล้วในตอนแรก)แล้วทำการผสมกับน้ำอีก 9 ส่วนแล้วทำการเขย่าอีกที เราก็จะได้ความเข้มข้นระดับ 2X
ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ระดับความเข้มข้นที่ต้องการ
ตัวยาที่สำเร็จแล้วมักจะนำไปบริโภคในทันทีหรือในบางครั้ง……
ตัวยาจะถูกนำไปผสมน้ำตาลและอัดเม็ดขาย
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพของตัวยาเข้มข้นระดับ 20 X ก็เหมือนกับการนำยาแอสไพริน 1 เม็ดไปละลายในมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นแหละ
แต่ก็ยังมีตัวยาบางประเภทที่เจือจางกว่ามากๆ เช่น ตัวยาความเข้มข้นระดับ 30 C
C นั้นหมายความว่ามีอัตราส่วนของสารตั้งต้นต่อน้ำเป็น 1:99 (C = 100ในความหมายของเลขโรมัน)
ดังนั้นตัวยาความเข้มข้นระดับ 30 C หมายถึงสารละลายตั้งต้นหนึ่งส่วนละลายกับ……………
น้ำ 10^51(10 ยกกำลัง 51) ส่วน
ถ้าเราต้องการยาเม็ดที่มีสารตั้งต้นทั้งหมด 1 อะตอมล่ะก็……
ยาเม็ดของเราก็จะมีรัศมีเท่ากับระยะทางจากโลกจนถึงดวงอาทิตย์เลยล่ะ
150,000,000 กิโลเมตร!!!!!
ยาเม็ดของเราจะใหญ่จนตัวมันเองจะมีมวลมากพอที่จะกลายเป็นหลุมดำได้เลยล่ะ……
นั่นทำให้กระบวนการ potentization ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
การเจือจางอย่างมหาศาลนั้นควรที่จะทำให้สารตั้งต้นมีกำลังมากขึ้นสิ?
แต่ในทางกายภาพนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
ตัวยา Homeopathic ส่วนมากจะถูกเจือจางมากเกินไปจนทำให้…………….
ไม่เหลือสารตั้งต้นในตัวยาเลยแม้แต่อะตอมเดียว!!!!
มีการพยายามอธิบายสาเหตุว่าทำไมตัวยายังคงใช้ในการรักษาได้ โดยเหตุผลคือในทุกครั้งที่มีการเขย่าสารละลายนั้นจะมี……
สารสกัดขนาดเล็กมากๆของสารตั้งต้นหลุดออกมาเกาะกับโมเลกุลน้ำ
โดยหลักการคือ โมเลกุลน้ำนั้นจะมีคุณสมบัติในการจดจำรูปแบบของสิ่งที่เคยถูกละลายในน้ำ
แต่ถ้ามันเป็นความจริงแสดงว่าน้ำทุกโมเลกุลในโลกนี้ต้องผ่านการทำละลายกับอะไรสักอย่างมาก่อนแล้ว(อาจจะรวมอุจจาระของคุณด้วย)
และก่อให้เกิดผลที่ไม่คาดฝันเมื่อคุณดื่มมันลงไป
ลองนึกดูสิว่าในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ของเรานั้นมีอะไรลอยอยู่บ้าง
น้ำทุกหยดที่เราดื่มคงกลายเป็นค็อกเทลเข้มข้นที่เต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไรไปนานแล้วหากข้ออ้างนี้เป็นจริง
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วทำไม Homeopathy ถึงกลายเป็นการแพทย์ทางเลือกที่ประสบความสำเร็จได้ล่ะ?
ในศตวรรษที่ 18 ………. การแพทย์ในอดีตนั้นต่างจากปัจจุบันมาก
ตัวอย่างของการรักษาในสมัยนั้น เช่น การบีบเลือด(ที่เชื่อว่าเสีย)ออกจากตัวคนไข้ นั้นเป็นการทำร้ายคนไข้มากกว่าการรักษา
ดังนั้นแพทย์ชาวเยอรมันที่ชื่อว่า Samuel Hahnermann จึงเกิดความคิดที่จะรักษาคนไข้ด้วยวิธีการแบบใหม่โดยการใช้ธรรมชาติเข้าช่วย จึงได้พัฒนา Hemeopathy ขึ้นมา
ส่วนสาเหตุที่การรักษาแบบ hemeopathic นั้นประสบความสำเร็จนั้นส่วนมากเพราะว่าเป็นการรักษาแบบที่ไม่ทำร้ายคนไข้เหมือนวิธีอื่นๆ(ถึงจะรักษาไม่ได้ผลเลยก็ตาม)
Hahnemann ได้กำหนดกฏอันเคร่งครัดในการรักษาคนไข้ของเขา
อย่างแรกเลย…. คุณห้ามดื่มกาแฟ,ชา,แอลกอฮอล์ทุกประเภท,อาหารรสเผ็ด,อาหารรสหวาน,ชีสเก่าๆ,หัวหอม และ ห้ามกินเนื้อ
และห้ามใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากขนแกะ,ห้ามทำงานที่นั่งอยู่กับที่นานๆ,ห้ามอยู่ในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท,ห้ามอยู่ในห้องที่ร้อนเกินไป,ห้ามขี่ม้า
ห้ามงีบหลับ,ห้ามเล่นเกมส์(ทุกประเภท)
ห้ามช่วยเหลือตัวเอง,ห้ามเสพสื่อลามกอนาจารและอื่นๆอีกมากมาย
ซึ่งต้องทำอย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ถึงจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ตามที่นายแพทย์ท่านนี้กล่าวไว้
ในปัจจุบันนี้ไม่มีใครสนกฏเหล่านี้อีกต่อไป
ยารักษาโรคได้เปลี่ยนไปมากในช่วง 150 ปีหลัง
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่มนุษย์มีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่มนุษย์มีอายุที่ยืนยาวมากซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆที่ถูกพัฒนาขึ้น
การวินิฉัยโรคแผนปัจจุบัน,การวิจัยเพื่อตรวจสอบ, และการประเมินผลต่างๆเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของงานวิจัย
ต้องขอบคุณสิ่งเหล่านี้หลังจากการศึกษาวิจัยมาอย่างยาวนาน…..
ทำให้เรามั่นใจว่า Hemeopathy เป็นเพียงแค่ยาหลอก(Placebo) เท่านั้น
แล้วทำไมเราต้องสนใจด้วยล่ะ?ถึงเป็นยาหลอกแต่ก็มีผลในการรักษามิใช่หรือ?
คุณอาจจะลองมันแล้วรู้สึกดีขึ้น
หรือคุณอาจจะรู้จักคนที่หายจากโรคร้ายด้วยวิธีการรักษาแบบ Hemeopathy
นอกจากนี้ยังมีรายงานอื่นๆอีกมากมายที่แสดงว่าHemeopathyใช้ได้ผลกับเด็กและสัตว์
แล้วเราจะอธิบายมันอย่างไรดีล่ะ?
Placebo effect นั้นเป็นสิ่งที่เป็นความจริงและได้รับการพิสูจน์แล้ว
ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองฉลาดขนาดไหนคุณก็ไม่รอดพ้นจากมัน
ถ้าคนเชื่อในตัวยาว่าจะช่วยให้เขาหายล่ะก็ แค่ความเชื่ออย่างเดียวก็ช่วยพวกเขามากแล้ว
และมีการพิสูจน์แล้วว่า Placebo effect นั้นสามารถส่งผ่านระหว่างสิ่งมีชีวิต(ที่มีความรู้สึกนึกคิด)ได้
เด็กเล็กและสัตว์นั้นจะมีอารมณ์ร่วมกับพ่อแม่ของเขาหรือเจ้าของของมัน
เช่น ถ้าพ่อแม่เชื่อว่าการรักษาได้ผลแล้วรู้สึกสบายใจ นั่นก็ช่วยให้เด็กเกิดอารมณ์ผ่อนคลายตามพ่อแม่และบรรเทาอาการของโรคได้
และยังสามารถสังเกตได้จากสัตว์ที่มีการตอบสนองต่อภาษากายที่แสดงความห่วงใยของมนุษย์ต่อตัวมันเอง
แต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของHomeopathyนั้นคือ เวลา
ร่างกายของเรานั้นเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการเอาตัวรอด
การติดเชื้อนั้นจะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน
แต่ในขณะเดียวกันหากคุณกินยาไปด้วยแล้วรู้สึกดีขึ้นจนหายไข้………..
คุณก็จะรู้สึกว่ายาเป็นสิ่งที่รักษาคุณทั้งๆที่โรคมันจะหายโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
อุตสาหกรรมHomeopathyนั้นชอบทำตัวเหมือนการแพทย์ทางเลือกขนาดเล็กเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมยาทั่วไปขนาดใหญ่
ทั้งๆที่Hemeopathyนั่นแหละคืออุตสาหกรรมยาขนาดใหญ่เอง
มีเงินสะพัดภายในธุรกิจหลายพันล้านดอลลาร์จากกำไรมหาศาล
อุตสาหกรรมHemeopathyนั้นมีแม้กระทั่งองค์กรสำหรับ lobby ตัวเองและทำการถกเถียงกับฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง
มีเงินสะพัดมากมายในเส้นทางนี้
โดยคาดว่าจะมีเงินสะพัดในตลาดโลกมากถึง หนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านดอลลาร์ภายในปี 2024
ถึงขั้นที่ว่ามีนักวิจารณ์บางคนออกมาค้าน Hemeopathy ว่าอาจจะทำให้ยาแผนปัจจุบันซึ่งมีการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผลเสียความน่าเชื่อถือ
เช่น ความเชื่อในHemeopathyนี้เองเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับการต่อต้านวัคซีน
และเป็นการยุยงทางอ้อมให้คนไม่ไปหาหมอที่มีความจำเป็น
ทั้งๆที่ชีวิตของพวกเขาหรือลูกของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
แต่ก็มีปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของHemeopathyที่เราควรนำมาปฎิบัติตาม
การพูดคุยระหว่างคนไข้กับหมออย่างสนิทสนมในครั้งแรกที่รักษานั้นอาจจะกินเวลาไปหลายชั่วโมงในการรักษา
สำหรับคนไข้ที่เที่ยวเวียนหาหมอมาหลายคนแล้ว
การให้ความสำคัญและการเอาใจใส่นั้นสามารถทำให้คนไข้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
ทั้งๆที่การพูดคุยนั้นไม่เกี่ยวกับการรักษาเลยก็ตาม
ยาแผนปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพที่สูงมากทำให้ช่วยเหลือผู้คนได้มากมายในแต่ละปี
แต่ในทางเดียวกันมันก็เป็นระบบที่รวบรัดเอามากๆ
งบประมาณที่มีน้อยทำให้หมอต้องพบเจอคนไข้มากมายในแต่ละวัน
การพูดคุยนั้นต้องไม่เสียเวลามากเกินไป
วินิฉัยโรคเร็วและรักษาให้เร็ว
ซึ่งบางทีอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งและหวาดกลัว
นี่แหละคือสิ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันควรนำแบบอย่างจาก Hemeopathyมาปฎิบัติ
สิ่งที่เติมเต็มความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
เราไม่ควรมองคนเป็นเพียงตัวเลขและควรให้ความใส่ใจกับคนแต่ละคนมากขึ้น
แต่ถึงแม้ว่าความเอาใจใส่จะสำคัญแต่มันก็ช่วยรักษาคนไม่ได้อยู่ดี
ความศรัทธาสามารถย้ายภูเขาได้ แต่น้ำหวานไม่สามารถรักษามะเร็งได้
หลังจากที่เราหยุดไปหลายปี Kurgesagt ก็ได้กลับมาอีกครั้งในภาษาเยอรมัน
ต้องขอบคุณการสนับสนุนของ Funk เราได้ทำการเปิดตัวช่องของเราในภาษาเยอรมันอีกครั้งหนึ่งและเราจะอัปโหลดวิดีโอลงไปทุกๆหนึ่งถึงสองอาทิตย์
จากที่เราเคยทำแต่วิดีโอปกติของเรา
ก็จะมีวิดีโอที่ไม่มีในภาษาอังกฤษออกมาบ้าง
ลองเข้าไปดูในช่องนี้สิ แล้วบอกว่าคุณคิดอย่างไรกับเรา
ถ้าช่องนี้ไปได้ดีล่ะก็…. เราอาจจะทำวิดีโอภาษาเยอรมันเพิ่มและอาจทำวิดีโอภาษาอื่นๆด้วยนะ!