ถ้าโลกถูกขับออกจากระบบสุริยะ | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

ท้องฟ้ายามราตรีดูเหมือนสงบสุขและดูเป็นระเบียบ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดาวฤกษ์กำลังเคลื่อนตัวผ่านกาแล็กซี่

ด้วยความเร็วแสงหลายแสนกิโลเมตรต่อชั่วโมง

ไม่ได้ยึดติดกับจุดที่มันกำเนิด แต่ว่าเปลี่ยนเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ

โชคดีที่อวกาศนั้นกว้างใหญ่

และดาวฤกษ์ในทางช้างเผือกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเรา

โชคร้ายที่พวกมันนั้นไม่ต้องชนกับอะไรก็อาจทำให้ เราพบกับเรื่องร้ายๆ บนโลกได้

และมีดาวฤกษ์บางดวงที่เริ่มเข้าใกล้เราขึ้นเรื่อยๆ

{Intro}

เพื่อที่จะเข้าใจว่าดาวฤกษ์เป็นอันตรายต่อเราแค่ไหน

เราต้องพูดถึงแรงโน้มถ่วง

แรงโน้มถ่วงดึงดูดทุกสิ่งอย่างในจักรวาลเข้าด้วยกัน

คุณถูกดึงดูดโดยอะตอมที่ห่างออกไปล้านปีแสง

โชคดีที่ยิ่งห่างแรงยิ่งน้อยลง และมันขึ้นกับความใหญ่ของสิ่งนั้น

ดังนั้นสิ่งที่ใกล้กันและใหญ่กว่าจะมีแรงดึงดูดมากจะชนะไป

ด้วยวิธีนี้ สิ่งที่ใหญ่จะกำหนดว่าสิ่งเล็กๆ รอบตัวควรปฏิบัติอย่างไร

ดวงอาทิตย์มีมวลกว่า 99.75% ของทั้งระบบสุริยะ และกำหนด พฤติกรรมและการโคจรของทุกอย่างในระบบสุริยะ

หลายพันล้านปีก่อนหลังจากดวงอาทิตย์ถือกำเนิด ระบบสุริยะมีแต่ความวุ่นวายและเป็นที่ที่อันตราย

เนื่องจากดาวเคราะห์เกิดจากชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ชนกันตลอดเวลา

เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดความสมดุลขึ้น

ทุกวันนี้ดาวเคราะห์และดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่อยู่ใน วงโคจรที่ปลอดภัยและสามารถคาดเดาได้

เรามีดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก

แถบดาวเคราะห์น้อยและแถบไคเปอร์

และที่ขอบของระบบสุริยะ เมฆออร์ต ทรงกลมขนาดใหญ่ ที่มีดาวหางโคจรรอบๆ อย่างช้าๆ ในที่มืดๆ

เราไม่อยากให้ความสมดุลนี้มันหายไปเลย

ถ้ามีดาวฤกษ์อีกดวงเข้าใกล้เรามากเกินไป

แรงโน้มถ่วงจะดึงทุกอย่างในระบบสุริยะเหมือนเด็กกับนิสัยเสีย

ทำให้ความเป็นระเบียบของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางเละไม่เป็นท่า

นี่ไม่ใช่จินตนาการที่น่ากลัว เมื่อประมาณ 70,000 ปีก่อน

ดาวแคระแดง ดาวแคระน้ำตาลในระบบดาวคู่ ได้ผ่านเมฆออร์ตและทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิง

มันอาจส่งดาวเคราะห์น้อยมาโจมตีเราอย่างร้ายแรง

แต่มันอาจจะใช้เวลาประมาณ 2 ล้านปี จนกว่าผู้มาเยือน จากเมฆออร์ตจะเข้ามาถึงระบบสุริยะชั้นในของเราได้

แต่ว่ามันมีปัญหาทีใหญ่กว่ารออยู่ที่เส้นขอบฟ้า

Gliese 710 ดาวเคราห์แดงที่มีมวลครึ่งนึงของดวงอาทิตย์

ตอนนี้กำลังมุ่งหน้ามายังระบบสุริยะ ในเวลาล้านปีมันจะผ่าน เมฆออร์ตและกลายเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า

การบินใกล้ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายแสนปี

รบกวนวงโคจรของหลายล้านวัตถุในเมฆออร์ตอย่างมาก

หากโชคร้าย นี่จะเป็นการทิ้งระเบิดของดาวเคราะห์ในยุคใหม่

คล้ายกับช่วงแรกๆ ในระบบสุริยะ

ท้องฟ้ายามราตรีจะเต็มไปด้วยดาวหาง และ ดาวเคราะห์น้อยตกใส่ระบบสุริยะชั้นใน

ลูกที่ใหญ่กว่านั้นอาจทำให้เกิดการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ เหมือนกับไดโนเสาร์ และส่งผลเสียต่อตลาดหุ้น

แต่มันอาจจะแย่กว่านั้นมาก กาแล็กซีเป็นที่ที่หนาแน่น

และดาวฤกษ์ก็โคจรใกล้กันเป็นปกติอยู่แล้ว

ดังนั้นจึงเป็นไปได้หากดาวฤกษ์บางดวงอยู่ใกล้เกินไป

และไม่ใช่แค่ผ่านไป แต่ผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน

นี่จะเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ถึงขีดสุด

โอกาสที่ดาวอีกดวงจะชนกับดวงอาทิตย์นั้นไม่น่าเป็นไปได้

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล

หากดาวดวงอื่นโคจรผ่านใกล้ที่สุดเท่าที่โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์

มันจะขับให้โลกออกจากระบบสุริยะอย่างง่ายดาย

โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น คาดการณ์ไว้ประมาณ 1/100,000 ในระยะเวลา 5 พันล้านปีข้างหน้า

เล็กแต่ก็ไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้น เท่าที่พูดถึงมันในวิดีโออื่น

ดูเหมือนจะมีดาวเคราะห์จรจัดหลายพันล้านดวง

กำลังทำสิ่งที่เป็นของตนเองในกาแล็กซี และนี่เป็นวิธีที่จะสร้างมัน

ดังนั้นถ้ามันเกิดขึ้นกับดาวแคระแดงอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก?

เตะโลกออกจากระบบสุริยะ

เมื่อดาวฤกษ์เข้ามาในระบบสุริยะ จุดสีส้มเล็กๆ ปรากฏบนท้องฟ้าและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่กี่เดือน

จนกระทั่งสามารถสังเกตเห็นได้ในตอนกลางวัน

มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและสว่างกว่าดวงจันทร์

สว่างเกินกว่าจะมองตรงๆ ท้องฟ้าตอนกลางคืน จะเต็มไปด้วยแสงสว่างสีแดงที่ดูน่ากลัว

หลังจากไม่กี่เดือนมันก็เริ่มหายไปอีกครั้ง เหมือนกับดวงอาทิตย์

ภายในไม่กี่ปี ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ามีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ

และความอบอุ่นกับแสงเริ่มจะหายไปจากทั่วทั้งโลก เมื่อกลางคืนมาถึง ฤดูหนาวสุดท้ายของมนุษยชาติได้เริ่มขึ้น

แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มเพิ่มขึ้นและแพร่กระจายไปทั่ว

ขณะที่พืชเหี่ยวและตาย ป่าถูกแช่แข็งและสัตว์ตายเป็นฝูง

ขณะที่โลกผ่านวงโคจรของดาวอังคาร อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ย

ลดลงเกือบ -50 องศาเซลเซียส จากอวกาศ โลกดูเหมือนดวงจันทร์ที่เย็นยะเยือก

พื้นผิวสีน้ำเงิน-เขียว กลายเป็นสีเทา-ขาวซีดแห่งความตาย

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกพังลง ผู้คนรวมตัวกันอยู่ในบ้าน

เผาอะไรก็ได้ที่ให้ความอบอุ่นในขณะที่อุณหภูมิเริ่มลดลงต่อเนื่อง

นับวันรอจนกว่าพวกเขาจะไม่มีอาหารที่ไม่เติบโตอีกต่อไป

ทุกคนที่อยู่บนพื้นผิวต่างใช้ชีวิตในเวลาที่ยืมมา

เมื่อโลกไปถึงแถบวงโคจรของดาวพฤหัสบดี อุณหภูมิจะลดต่ำลงถึง -150 องศาเซลเซียส

ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิที่หนาวที่สุดที่เคยบันทึกได้ในแอนตาร์กติกา

ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดแต่ว่าตอนนี้ทุกคนตายหมดแล้ว

เมื่อไม่มีพลังงานจากแสงแดดที่ทำให้น้ำระเหย เมฆไม่ก่อตัวและวัฎจักรของน้ำก็หยุดลง

ในที่สุดแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกจะแตะถึงเส้นศูนย์สูตร และมหาสมุทรถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนา

เมื่อความร้อนไหลออกมาเรื่อยๆ น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง ที่ด้านล่างของแผ่นน้ำแข็งความเข้มข้นของเกลือจะมากขึ้น

ทำให้เป็นพิษกับสัตว์ส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตรอด

แม้ว่ารอบๆ ท่อส่งความร้อน ชุมชนของสภาพแวดล้อมสุดขั้ว จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้

แบคทีเรียที่อยู่ที่พื้นผิวเบื้องล่างจะไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้

เนื่องจากรับความร้อนจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีในแกนโลก

เมื่อโลกไปถึงวงโคจรของดาวพลูโตและแถบไคเปอร์

ดวงอาทิตย์ยังเป็นดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า แต่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น

ที่สามารถมองเห็นได้ในตอนกลางวัน

ตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่เกือบ 40 องศาเซลเซียสเหนือศูนย์สัมบูรณ์

ต่ำกว่าอุณหภูมิเยือกแข็งของก๊าซในชั้นบรรยากาศ

เกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครได้เห็นขึ้น

เมื่อชั้นบรรยากาศเปลี่ยนให้ไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นหิมะ

พอผ่านไปหลายปี มันจะถูกสะสมเป็นชั้นน้ำแข็ง หนา 10 เมตรทั่วทั้งพื้นผิวของดาวเคราะห์

มีเพียงก๊าซเบาบางที่ยังคงเหลืออยู่

ซากของพืชและสัตว์ที่ถูกแช่แข็งถูกฝังไว้ใกล้ๆ กัน

เมื่อโลกออกจากระบบสุริยะ มันจะกลายเป็นดาวเคราะห์จรจัด

ท่องไปในความมืด ไร้ชีวิตชีวาและโดดเดี่ยว

แต่น่าแปลกใจที่เรายังมีหวัง

มนุษยชาติจะไม่แปลกใจกับเหตุการณ์การสูญพันธ์ ที่อาจเกิดขึ้น เราจะสังเกตเห็นล่วงหน้าหลายพันปี

เราไม่สามารถทำอะไรได้มากมายเพื่อหยุดมัน แต่เราเตรียมตัวได้

พวกเราส่วนใหญ่จะตายกันหมด แต่มีไม่กี่ล้านคนที่จะรอด อยู่ในโครงสร้างซับซ้อนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้น

ให้พลังงานโดยคลื่นความร้อนใต้พิภพและพลังงานนิวเคลียร์

หรืออาจจะเป็นพลังงานฟิวชันหากเรารู้วิธี การใช้น้ำแข็งที่อยู่รอบตัวเรามาเป็นพลังงาน

มนุษยชาติอาจจะอยู่รอดต่อไปหลายร้อยหลายพันปี

ในจุดๆ นึง เราจะชินกับสถานการณ์นี้ และคนรุ่นใหม่จะได้ชมสารคดีที่ไม่น่าเชื่อ

ว่าเราเคยมีดาวฤกษ์เป็นของตัวเองและสามารถเดินบนพื้นโลกได้

และในจุดหนึ่ง เราอาจจะตัดสินใจหาที่อยู่ใหม่

หากโลกเราโชคดีพอที่จะผ่านดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้

เราอาจจะพยายามเริ่มต้นใหม่

ยานอวกาศอาจพาเราออกไปได้ง่ายๆ เมื่อไม่มีชั้นบรรยากาศ

ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง หากผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้าย ตัดสินใจทิ้งโลกไว้ข้างหลังแล้วมาเริ่มต้นบนดาวดวงใหม่

สักวันหนึ่งในอีกหลายพันปีต่อมา ลูกหลานของมนุษยชาติ จะเล่าถึงตำนานเกี่ยวกับโลกในสมัยโบราณ

เรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่หายไป ดาวเคราะห์น้ำแข็งปริศนา

ล่องลอยไปอย่างโดดเดี่ยวและว่างเปล่าในความมืดของอวกาศ

โดยพื้นฐานแล้วกุญแจของการมีชีวิตรอดของมนุษยชาติ คือ เรียนรู้ว่าเราควรจะรับมืออย่างไร

ดังนั้นเราจะช่วยคุณเอง เพื่อนของเราจาก brilliant เป็นโค้ชที่เพอร์เฟคที่จะทำให้เข้าใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น

brilliant เป็นเว็บไซต์แก้ปัญหาและแอปฯ ที่ช่วยให้ วิทยาศาสตร์เข้าถึงได้ง่ายและใช้งานได้จริง

มีคอร์สเชิงโต้ตอบมากกว่า 60 คอร์ส ที่ให้คุณได้แก้ไขปัญหา ด้านคณิต ตรรกะ และวิศวะ ได้ด้วยตัวของคุณเอง

แทนที่การจดบันทึกแบบธรรมดา brilliant ใช้การเล่าเรื่อง การเขียนโค้ด และการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เพื่อให้คุณได้รับความรู้และความบันเทิง

ด้วยวิธีนี้ ชาเลนจ์ประจำวันสามารถสร้างการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ได้ในระยะยาวและเก็บสะสม stem

รวมๆแล้ว brilliant จะช่วยให้คุณได้รับความรู้ โดยที่ไม่ทันได้สังเกต

เพื่อที่จะได้รับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มเปี่ยม ไปที่ brilliant.org/nutshell

สมัครได้ฟรี! และมีสิทธิพิเศษสำหรับผู้ชมของเรา 200 คนแรก ที่ใช้ลิงก์ด้านล่างนี้ จะได้รับส่วนลด 20% สำหรับสมาชิกรายปี

ที่ให้คุณได้ดูปัญหาประจำวันทั้งหมดในคลัง และปลดล็อกทุกคอร์ส

brilliant ช่วยให้คุณฉลาดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตข้างหน้า

{Outtro}

translated by Anothertemp_