เหตุการณ์เกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

พลังงานนิวเคลียร์สร้างความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความอันตรายต่อคนจำนวนมาก

แร่ธาตุที่เก่าแก่และเป็นอันตรายถูกรวมกันเป็นพลังงานที่ดูผิดธรรมชาติ

สร้างองค์ประกอบน่ากลัวที่เป็นพิษ หากมันออกมาก็จะสามารถฆ่าคนได้ด้วยวิธีที่น่าสยอง

มีคนตายจากพลังงานนิวเคลียร์กี่คน และตายได้อย่างไร?

{Intro}

พลังงานนิวเคลียร์มีมาตั้งแต่ปี 1951 และตั้งแต่นั้นมา มีรายงานอุบัติเหตุเกิดขึ้นประมาณ 30 ครั้งทั่วโลก

ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักน้อยเมื่อเทียบกับ 2 เหตุภัยพิบัติที่ทุกคนคุ้นเคย

ฟุกุชิมะและเชอร์โนบิล

เชอร์โนบิลเป็นอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเหตุผลหลายข้อ

เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์เก่า และไม่พร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน

การตอบสนองของรัฐบาลที่ล่าช้า และกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์มากกว่าควบคุมความเสียหาย

ถึงอย่างนั้น มีผู้เสียชีวิตเพียง 31 คน จากอุบัติเหตุในครั้งนี้

แต่สิ่งที่ทำให้พลังงานนิวเคลียร์น่ากลัวไม่ใช่เครื่องปฏิกรณ์ระเบิด

แต่เป็นรังสีที่ถูกปล่อยออกมา

ดังนั้นคำถามจริงๆ คือ มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ที่เกิดจากเชอร์โนบิลกี่คน

สิ่งต่างๆ เริ่มซับซ้อนขึ้นมากเนื่องจากคุณเข้าสู่การโต้เถียง

และเพียงพูดคุยเกี่ยวกับการคาดการณ์ต่างๆ และวิธีที่ให้คำนวณ

ก็ควรจะมีวิดีโอเป็นของตัวเอง

การคาดการณ์ที่มองในแง่ร้ายที่สุด มาจากการศึกษา

ที่ได้รับมอบหมายจาก European Green Party

และคาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง 60,000 ราย ภายในปี 2065 23 00:01:,000 –> 00:01:35,150 การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีตัวเลขที่ต่ำกว่านี้มาก

องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตในระยะยาวจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ราย

ขณะที่คณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยผลกระทบของการแผ่รังสีปรมาณู

ให้ข้อสรุปว่าแม้ตัวเลขนี้อาจดูสูงเกินไป

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสารการค้นคว้าของเรา

อุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง คือที่ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ในปี 2011

ที่ฟุกุชิมะ ไม่เพียงแต่จะใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายน้อยกว่า

ยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่ามาก และการตอบสนองของทางการก็รวดเร็วและเด็ดขาด

ดังนั้นยอดผู้เสียชีวิตในปัจจุบันอยู่ที่ 573 ราย

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ ผู้ที่เสียชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ตายจากการแผ่รังสี

พวกเขาเสียชีวิตโดยอ้อมจากความเครียด ในการอพยพพื้นที่รอบๆ เครื่องปฏิกรณ์

และคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

การคาดการณ์การเสียชีวิตในระยะยาว ที่มีความเป็นไปได้จากรังสีนั้นแตกต่างกันออกไป

ตั้งแต่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยไปจนถึงประมาณ 1,000 คน

ในแง่ของผลกระทบระยะยาวอื่นๆ พบว่า มะเร็งต่อมไทรอยด์ในเด็กเพิ่มขึ้น

แต่ตามข้อมูลของ WHO สิ่งนี้เกี่ยวข้อง กับอัตราการตรวจคัดกรองที่เพิ่มขึ้น

ภายในปี 2018 มีการยืนยันการเสียชีวิตเพียงคนเดียว ในกลุ่มคนงานที่เสียชีวิตจากมะเร็งปอดที่เกิดจากรังสี

ทีนี้ลองเปรียบเทียบพลังงานนิวเคลียร์กับพลังงานทดแทน

พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และความร้อนใต้พิภพ โดยพื้นฐานแล้ว

ทำให้มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการก่อสร้างและการบำรุงรักษาเท่านั้น

น่าเสียดายที่ส่วนแบ่งในพลังงานโลกในปัจจุบันนั้นค่อนข้างต่ำ

พลังงานทดแทนหลักๆ คือ พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ

ส่วนใหญ่หมายถึงการสร้างเขื่อนและให้น้ำ ไหลผ่านกังหันจากที่สูงสู่ที่ต่ำ

โดยรวมแล้ว พลังงานน้ำก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุด

มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคนในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

หนึ่งในอุบัติเหตุที่รู้จักกันดีคือ เขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำปันเฉียวที่พังในประเทศจีนเมื่อปี 1975

ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับที่เชอร์โนบิลอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยเทคโนโลยีที่เก่า การออกแบบที่ไม่ดีรวมทั้งการจัดการที่แย่

โดยรัฐบาลเผด็จการที่กังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก

โดยสรุปแล้ว พายุไต้ฝุ่นขนาดมหึมาทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง

จนทำลายเขื่อน และต่อมาสร้างรอยร้าวเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่

ทำให้เกิดน้ำท่วมรวมกว่า 1.5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร

คลื่นกว้างหลายกิโลเมตร สูงเท่ากับอาคารต่างๆ ทำลายล้างชนบท หลายพันตารางกิโลเมตร และชุมชนอีกนับไม่ถ้วน

รวมๆ แล้วผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 85,000 - 240,000 คน

แต่การเสียชีวิตทั้งหมดนี้เกิดจากนิวเคลียร์และพลังงานทดแทน

จริงๆ แล้วเทียบไม่ได้เลยกับพลังงานตัวฉกาจ

เชื้อเพลิงฟอสซิล แหล่งพลังงานและไฟฟ้าที่นิยมใช้กันมากที่สุด

เมื่อเราเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อทำให้น้ำร้อน และทำให้กังหันหมุน

หรือทำให้เกิดการระเบิดขนาดเล็กเพื่อเคลื่อนย้าย รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปอยู่ภายใน

ก๊าซต่างๆ เช่น โอโซน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ จะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ

การหายใจเอาก๊าซเหล่านี้เข้าไป จะไปรบกวนการทำงานของปอด

ทำให้อาการเรื้อรังต่างๆ แย่ลง เช่น โรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบ

เป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจ และหลอดเลือดหัวใจในวงกว้าง

แต่สิ่งที่อันตรายกว่าคือ มลพิษจากอนุภาคละเอียด ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล

ส่วนผสมของละอองของแข็งและของเหลวจากสารพิษ

ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน

มันหาทางเข้าไปในปอดของคุณได้อย่างง่ายดาย และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรง

เช่น โรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ

มลพิษทางอากาศที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในโลก

จากข้อมูลของ WHO คิดเป็น 29% ของมะเร็งปอดทั้งหมด 17% เสียชีวิตจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างเฉียบพลัน

24% จากโรคหลอดเลือดสมอง 25% จากโรคหัวใจขาดเลือด และอีก 43% จากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรั้ง

รวมๆ แล้ว มลพิษทางอากาศทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 4 ล้านคนต่อปี

สิ่งที่ทำให้มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาและเลวร้ายเป็นพิเศษ

คือ ความจริงที่ว่าความเสียหายที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ทำให้สมองของเราที่ไม่ได้วิวัฒนาการคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา

โดยรวมแล้ว มลพิษทางอากาศจากเชื้อเพลิงฟอสซิล คาดว่าจะคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 100 ล้านคน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

แต่เดี๋ยวก่อน มันยุติธรรมจริงๆ หรอ?

เชื้อเพลิงฟอสซิลให้พลังงานทั่วโลกมากกว่า 80% ดังนั้นมันเลยสมเหตุสมผลที่มีผู้เสียชีวิตเยอะที่สุด

ลองเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตต่อหน่วยพลังงาน

จำนวนผู้เสียชีวิตต่อหน่วยพลังงานที่ผลิต

งานวิจัยบางชิ้นมีการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิต จากแหล่งพลังงานต่างๆ ต่อหนึ่งเทราวัตต์ชั่วโมง

นั่นคือการใช้พลังงานประจำปีของพลเมือง สหภาพยุโรป 27,000 คน หรือพลเมืองสหรัฐฯ 12,600 คน

เพื่อจะผลิตพลังงานให้ได้มากขนาดนั้นในหนึ่งปี ถ่านหิน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 25 ราย น้ำมัน 18 ราย และก๊าซธรรมชาติอีก 3 ราย

พลังงานทดแทนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายในทุกๆ สองสามทศวรรษ

ส่วนพลังงานนิวเคลียร์ในกรณีที่แย่ที่สุด จะทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทุกๆ 14 ปี

จากการศึกษาหนึ่งพบว่า พลังงานนิวเคลียร์ช่วยชีวิตคนได้ 2 ล้านคน

ระหว่างปี 1971 ถึง 2009 โดยแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลจากพลังงานโลก

ตัวเลขนั้นชัดเจน แม้ว่าตัวเลขจะมองดูแย่ พลังงานนิวเคลียร์เป็นการผลิตพลังงานที่ปลอดภัยที่สุด

และขณะที่เรากำลังสู้ เพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว

พลังงานนิวเคลียร์ก็เป็นตัวเลือกที่มีค่าคาร์บอนต่ำ

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงพวกนี้ทิ้งข้อโต้แย้ง หลักข้อหนึ่งที่ต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยโต้แย้งว่า กากนิวเคลียร์และการขาดวิธี ในการจัดเก็บระยะยาวเป็นปัญหาและความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้

ขณะฝ่านที่เห็นด้วยกล่าวว่า จนกว่าพลังงานทดแทนจะสามารถ ครอบคลุมความต้องการพลังงานทั้งหมดของมนุษย์ได้

การจัดเก็บกากนิวเคลียร์น่าจะปลอดภัยกว่าในขณะนี้

มากกว่าการสูดดมก๊าซพิษ และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนที่การอภิปรายอย่างละเอียด เกี่ยวกับกากนิวเคลียร์จะไปไกลเกินกว่านี้

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในแหล่งที่มาของเรา

บอกให้เรารู้หากคุณต้องการวิดีโอทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้

เมื่อพิจารณาจากเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตแล้ว

จึงค่อนข้างกังวลที่บางประเทศกำลังแทนที่พลังงานนิวเคลียร์ ด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถ่านหิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีและญี่ปุ่นที่มีความกะตือรือร้น ในการรื้อถอนโรงงานนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วที่สุด

เพื่อเอาใจประชาชน รัฐบาลเยอรมันปิดโรงงานนิวเคลียร์ 11 แห่ง จากทั้งหมด 17 แห่ง และวางแผนที่จะปิดโรงงานที่เหลือในปี 2022

ทันทีที่ช่องว่างในการผลิตพลังงานเกิดขึ้น จะเต็มไปด้วยการผลิตถ่านหินที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว

แหล่งพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่ใหญ่ที่สุด

และผลที่ตามมาอย่างเลวร้ายที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การวิเคราะห์ในปี 2019 ได้ข้อสรุปว่าการเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างเลี่ยงไม่ได้ 1,100 รายต่อปีในเยอรมนี

อันเนื่องมาจากมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีหลังปี 2010

โดยสรุปแล้ว พลังงานนิวเคลียร์ให้ความรู้สึกอันตรายกว่าความเป็นจริง

ไม่ว่าคุณจะมองอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เราควรรีบกำจัด ออกไปให้เร็วที่สุดคือ เชื้อเพลิงฟอสซิล

เพื่อป้องกันการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละปี และเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไม่ว่าคุณจะสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือแหล่งพลังงานใดเป็นการส่วนตัว

การช่วยชีวิตคนนับล้านควรเป็นสิ่งที่เราทุกคนเห็นด้วย

บางทีคุณอาจมีปณิธานบางอย่าง เพื่อพยายามและยั่งยืนมากขึ้นในปีนี้

หรือบางทีเป้าหมายของคุณอาจเกี่ยวข้องกับตัวเองมากกว่า

และคุณต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ภายใน คือเวลาที่เหมาะสมในการทำตามแผน

เราได้ร่วมมือกับ Skillshare แหล่งชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ ที่มีชั้นเรียนนับพันสำหรับทุกระดับทักษะ

ในเชิงสร้างสรรค์มากมาย เช่น ภาพประกอบ แอนิเมชัน หรือภาพยนตร์และวิดีโอ

แต่คุณยังสามารถเจาะลึกลงไปในชั้นเรียนเกี่ยวกับการผลิต การปลูกต้นไม้ในบ้าน หรือการออกแบบภายในได้อีกด้วย

ทั้งหมดนี้เหมาะสำหรับการใช้เวลาอยู่ที่บ้าน อย่างสนุกสนาน และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

คุณสามารถเข้าถึงชั้นเรียนได้ไม่จำกัดในราคาไม่ถึง สิบเหรียญต่อเดือน ด้วยสมาชิกระดับพรีเมียมรายปี

และผู้ชม Kurzgesagt หนึ่งพันคนแรกที่คลิกลิงก์ ในช่องคำอธิบาย จะได้ทดลองใช้ฟรี

และถ้าคุณไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเรียนคลาสใด บางทีลองเริ่มต้นกับสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง

เช่น เรียนรู้วิธีเข้าถึงความสร้างสรรค์ของคุณให้ดีที่สุด

เราแนะนำการผลิตสำหรับความคิดสร้างสรรค์

สร้างระบบที่ดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดของคุณออกมา โดย Thomas Frank

แต่อะไรก็ตามที่ทำให้คุณรู้สึกดีและ ให้แนวคิดใหม่ๆกับคุณ ก็คุ้มค่าที่จะลอง

หากคุณต้องการสร้างสรรค์ทักษะใหม่ๆ และสนับสนุน Kurzgesagt ลองใช้เลย

{Outtro}

translated by Anothertemp_