เกิดอะไรขึ้นถ้าเรานำดวงอาทิตย์มายังโลก? | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณนำ ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของดวงอาทิตย์มาที่โลก?

คำตอบสั้น ๆ : คุณตายแน่ คำตอบยาว: มันขึ้นอยู่ว่าเป็นชิ้นส่วนไหนของดวงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ของเราก็เหมือนสสารส่วนใหญ่ในจักรวาล ไม่ใช่ของแข็งของเหลวหรือก๊าซ แต่มันเป็นพลาสม่า

พลาสม่าเกิดขึ้นได้ เมื่อสสารนั้นร้อนมาก จนนิวคลิไอและอิเล็กตรอนสามารถ

แยกออกและเคลื่อนไปรอบ ๆ ได้อย่างอิสระ ซึ่งจะสร้างสารที่คล้ายแป้งเปียก

คุณสามารถจินตนาการดวงอาทิตย์ของเราว่าใหญ่มาก, เป็นมหาสมุทรทรงกลมของสารที่คล้ายแป้งเปียกที่ร้อนมาก

ยิ่งลึกลงไป มันกลายเป็นสารจะยิ่งหนาแน่นและประหลาดนัก

ลองเอามาสัก 3 ชิ้น เป็นตัวอย่าง (แต่ละอัน มีขนาดสักเท่าบ้าน) นำมายังห้องแลปของเราบนโลก และดูสิ่งที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างแรก: chromosphere

chromosphere เป็นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ชั้นของก๊าซเบาบางหนาลงไปลึกถึง 5,000 กิโลเมตร

ที่ปกคลุมไปด้วยดงแหลมพลาสม่าที่เกือบจะใหญ่เท่าโลก

มันร้อนมากทีเดียว ที่นี่ ราว 6,000 และ 20,000 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเรานำองค์ประกอบของมันมายังโลก

มันจะไม่ค่อยคุ้มค่าเงินของเราเท่าไหร่

chromosphere มีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศมากกว่าล้านเท่า

ดังนั้น เมื่อเทียบกับบรรยากาศของเราที่ระดับน้ำทะเล มันเหมือนไปเอาสุญญากาศมาสู่โลก

เมื่อตัวอย่างนี้มาถึง มันก็ถูกบดขยี้โดยความดันบรรยากาศของโลกและระเบิดแทบทันที

อากาศจะรีบเติมพื้นที่สูญญากาศ และใช้พลังงานมากเท่าทีเอ็นที 12 กิโลกรัม

นี่จะสร้างคลื่นกระแทกแรงดันสูง ซึ่งทำแก้วแตก แก้วหูร้าว

และบางทีบางอวัยวะภายในเสียหาย หากคุณยืนอยู่ใกล้เกินไป มันก็อาจฆ่าคุณ คุณควรรักษาระยะห่างไว้

ลองไปลึกกว่านั้น

ตัวอย่างที่สอง photosphere

ภายใต้ chromosphere จะเป็นพื้นผิวเรืองแสงของดวงอาทิตย์: photosphere ซึ่งเป็นผู้ผลิตแสงที่เราเห็น

มันครอบคลุมตารางพื้นที่จุดที่ร้อนนับล้านๆ เรียกว่า granule แต่ละจุดใหญ่เท่าประเทศสหรัฐอเมริกา

และร้อนมากกว่า 5,000 องศาเซลเซียส

granule เป็นส่วนบนของช่องพาความร้อนแนวตั้ง หมุนวน ก๊าซที่นำความร้อนขึ้นมาจากใจกลางดวงอาทิตย์ไปสู่่ผิว

ในช่องเหล่านี้ ลงไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตร เราเก็บตัวอย่างที่สองมา มันมีความดันเช่นเดียวกับชั้นบรรยากาศของเราบนโลก

แม้ว่าจะยังคงมีความหนาแน่นน้อยมากที่นั่น ความร้อนค้ำมัน ดังนั้นมันจะไม่ระเบิด

ทรงกลมที่เราเอามาขณะนี้มีพลังงานด้วยราว ทีเอ็นที 25 กิโลกรัม ซึ่งคราวนี้เป็นความร้อน

ตัวอย่างพลาสม่านี้จะเรืองแสงที่ เป็นล้านเท่าของความสว่างดวงอาทิตย์ที่เห็นจากโลก

จุดไฟทั่วห้องแลปของเราในทันที แต่ไม่กี่มิลลิวินาทีต่อมา ไฟเหล่านั้นไม่เหลือ

พลาสม่าได้เย็นลงกลายเป็นก๊าซไม่อันตราย ลอยขึ้นมาจากซากเผาไหม้ของมัน

ถ้าเราไปลึกกว่านี้ล่ะ?

ตัวอย่างที่สาม โซนการแผ่รังสี (radiative zone)

นี่พลาสม่า ร้อนราวๆ 2 ล้านองศาเซลเซียส และมีความ หนาแน่นมากจนสร้างการจัดเรียงของมันเองที่น่ามึนงง

พลังงานในรูปแบบของโฟตอนพยายามที่จะออกไป

แต่มันต้องเดินนับร้อยนับพันปีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากอนุภาคสู่อนุภาคจนในที่สุดก็พบทางออก

นำตัวอย่างจากที่นี่ไปยังห้องแลปของเรา เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า เป็นความคิดโง่มาก

ทันทีที่มันมาถึงในห้องแลป แรงดันอย่างมาก ที่ยึดพลาสม่าอัดแน่นด้วยกันก็หายไป

และสารนี้ระเบิดด้วยแรงของอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ ห้องแลปและเมืองรอบ ๆ จะถูกทำลายในทันที

มองในด้านดี จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ของสารกัมมันตรังสี

พอห้องแลปถูกทำลาย เราก็ไม่ต้องคิดแล้วว่ากำลังพยายามทดลองทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ในวันนี้

ถ้าเราไปมากลึกมากขึ้นอีก จะเกิดอะไรขึ้น?

ตัวอย่างสุดท้าย แกนกลาง (core)

ที่นี่ ตรงกลาง 1% ของดาวที่ เราพบมวลดวงอาทิตย์ถึงหนึ่งในสามส่วน

สารที่นี่ถูกบีบอัดโดยน้ำหนักของดาวทั้งหมดข้างต้นนั้น ในใจกลางของแกน

อุณหภูมิอยู่ที่ 15 ล้านองศาเซลเซียส

ร้อนพอที่จะทำให้เกิดก๊าซฮีเลียมโดยการ ชนเข้าด้วยกันของไฮโดรเจน เกิดพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน

ในหลายพันล้านปีหลังจากการตายของดวงอาทิตย์ แกนกลางนี้จะเป็นดาวแคระขาว

ถ้าเรานำตัวอย่างของมันมายังโลก ก็จะทำให้เกิดความลำบาก

ระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดที่เคยมี เท่าทีเอ็นทีพลังงาน 40 เมกกะตัน หรือลูกบาศก์ขนาดเท่าตึก Empire State

ตัวอย่างของเรา มีพลังงานราว 4,000 เมกกะตัน

นี่คือ ทีเอ็นทีสี่พันล้านตัน หรือก้อนระเบิดสูง 1.3 กิโลเมตร

เพื่อให้คุณเข้าใจขนาดมัน คือเป็นก้อนลูกบาศก์เท่าในแมนฮัตตัน

เมื่อ ตัวอย่างนี้มาถึงโลก ก้อนที่หนาแน่นมากนี้ ขยายตัวทันที และสร้างการระเบิดที่แรง

ดังดวงอาทิตย์.

หากเรานำตัวอย่างมาในกรุงปารีสในตอนเช้า พลเมืองของ กรุงลอนดอนจะได้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นดวงที่สอง

แต่มันจะสว่างสดใส และร้อน มากขึ้นเรื่อยๆ จนลอนดอนเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน

ในรัศมีประมาณ 300 กิโลเมตรรอบการระเบิดทุกอย่างจะถูกเผา

คลื่นกระแทกจะวนไปรอบโลกหลายครั้ง

อาคารส่วนใหญ่ในยุโรปกลางจะหายไป แก้วหูแตก และกระจกหน้าต่างแตกข้ามทวีปเลย

การระเบิดคงจะเป็นวันสิ้นโลก

อาจจะเป็นมนุษย์สิ้นสุดอารยธรรม

ถ้ามนุษย์รอด เราแน่ใจได้ว่าฝุ่นที่ปลิวเข้าสู่บรรยากาศ ทำให้เกิดยุคน้ำแข็งขนาดย่อม

ดังนั้นถ้ามีหนึ่งในด้านดีเล็ก ๆ น้อยๆ เป็นไปได้ว่า การระเบิดอาจจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ

ในการควบคุมเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดจากมนุษย์ไปอีกหลายทศวรรษ

ขณะที่ สิ่งที่ดี คือ สรุปเป็นที่แน่นอนว่า เราไม่ควรพยายามที่จะนำดวงอาทิตย์มายังโลก