รายได้พื้นฐานสูงสุดเป็นเงินฟรีสำหรับทุกคน? UBI | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ารัฐบาลจ่ายเงินค่าครองชีพให้กับคุณ? ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณยังจะไปทำงานอยู่หรือเปล่า?

คุณจะกลับไปเรียนที่โรงเรียนหรือไม่?

คุณจะไม่ทำงานเลยหรือเปล่า? แล้วคุณจะทำอะไรแทนล่ะ?

แนวความคิดนี้ถูกเรียกว่า Universal Basic Income หรือ UBI

และมันก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลย นอกจากนโยบายทางสังคม ที่คิดการใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานี้

ในปี 2017 นโยบายค่าแรงขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

และได้มีการลองใช้แนวคิดนี้ เพื่อที่จะนำไปปรับใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง

และมีประเทศมากมายที่เอาแนวคิด UBI ไว้เป็นทางเลือกหนึ่ง ของการจัดการสวัสดิการสังคมของตนเอง

แล้วมันเป็นยังไง? และอะไรคือเหตุผลหลักที่ สนับสนุนหรือต่อต้าน?

ในขณะนี้ เราก็ยังสรุปไม่ได้ว่า UBI เป็นอย่างไร และควรจะมีลักษณะอย่างไร

บางคนต้องการใช้มันเพื่อที่จะ กำจัดสวัสดิการสังคมและลดบทบาทของระบบราชการ

และบางคนก็อยากให้มันเป็นโครงการที่มีอยู่ เพื่อที่จะเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนขั้นพื้นฐาน

ยิ่งไปกว่านั้น บางคนก็อยากให้ UBI ให้เงินประชาชนสูงมาก จนกระทั่งประชาชนเลือกที่จะไม่ทำงานเลยก็เป็นได้

สำหรับวิดีโอนี้เราจะพูดเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำเป็นส่วนมาก

รายได้ที่มากพอที่จะถือว่าคุณไม่ยากจน

นั่นแสดงว่าในสหรัฐอเมริกา คุณจะต้องมีรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 1000 ดอลลาร์ หรือ 12000 ดอลลาร์ต่อปี

เงินที่จะไม่นำไปถูกคิดภาษี และคุณจะทำอะไรก็ได้กับเงินจำนวนนั้น

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว UBI ก็คือ การกระจายรายได้ให้คนในชุมชน

โดยที่เราไม่แตะต้องตลาดเสรี

แต่ถ้าเราให้เงินประชาชนไปเฉยๆ แล้วประชาชน จะเอาเงินไปใช้กับอบายมุขและหยุดทำงานไปเลยไหม?

จากการศึกษาในปี 2013 โดย World Bank โดยได้ศึกษาแบบเจาะจงในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ศึกษาว่า ผู้มีรายได้น้อยจะนำเงินนี้ไปใช้กับอบายมุขหรือไม่ ถ้าพวกเขาได้เงินไปในรูปของเงินสด

ได้คำตอบคือ พวกเขาไม่ทำ

ส่วนการศึกษาอื่นๆ ได้ให้ข้อมูลว่า ยิ่งคุณรวยมากเท่าไหร่ คุณยิ่งจะมีโอกาสใช้เงินกับอบายมุขมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นคนที่ขี้เกียจ ขี้เหล้าแถมยังจนอีก จึงเป็นแค่แนวคิดผิดๆ แนวคิดหนึ่งเท่านั้น

แล้วสำหรับความขี้เกียจล่ะ?

UBI ได้เคยถูกทดลองใช้แล้วครั้งหนึ่งในแคนาดา ช่วงทศวรรตที่ 1970 แสดงให้เห็นว่า

มีจำนวนประชากรที่หยุดงานเพียงแค่1% ซึ่งส่วนใหญ่ในนั้น ก็หยุดงานเพื่อที่จะไปเลี้ยงบุตรหลานของตน

ส่วนชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ย ก็ถูกลดลงไปเพียงไม่ถึง 10%

เวลาที่เหลือก็ถูกนำไปใช้เพื่อที่จะกลับไปทำอย่างอื่น เช่น เรียนต่อหรือ หางานที่ดีกว่าทำ

แต่ถ้าความขี้เกียจและอบายมุขไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว ทำไม สวัสดิการสังคมในปัจจุบันถึงไม่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนล่ะ?

สวัสดิการสังคมหรือโปรแกรมการช่วยเหลือคนตกงานมักจะมีเงื่อนไขอยู่หลายอย่างผูกเอาไว้

เช่น ต้องไปเข้าเรียนในคอร์สที่กำหนดไว้ให้

ต้องไปสมัครงานตามจำนวนที่กำหนดไว้ หรือต้องรับงานที่เสนอให้ทุกประเภท

ไม่ว่ามันจะเหมาะสมมั้ย หรือค่าตอบแทนจะจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม

เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากจำนวนคนตกงานลดลง แต่เกิดการสูญเสียอิสรภาพทางสังคม และสูญเสียเวลามาก

ทางที่ดี คุณควรจะใช้เวลาที่ีอยู่หาอาชีพที่ใช่สำหรับตัวคุณ

หรือไม่ก็ไปศึกษาต่อหรือทำธุรกิจ

และยังมีผลกระทบไม่ดีอีก เช่น สวัสดิการสังคมมากมาย สนับสนุนให้คนอยู่เฉยๆ ทำให้คนก็ยังมีรายได้น้อยดังเดิม

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเรามีรายได้เดือนละ 1000 ดอลลาร์สิ

แต่ถ้าคุณมีรายได้เพิ่มขึ้นแม้เพียง 1 ดอลลาร์ คุณก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลืออีกต่อไป

ถ้าคุณทำงานที่มีรายได้เดือนละ 1200 ดอลลาร์ ไม่เพียงแต่คุณจะสูญเสียผลประโยชน์จากสวัสดิการสังคมแล้ว

คุณยังจะต้องเสียภาษีและคุณจะต้องจ่ายค่าอื่นๆเพิ่ม เช่น ค่ารถโดยสาร เป็นต้น

โดยรวมแล้วคุณอาจจะได้เงินน้อยลงจากที่คุณเคยได้มาเสียอีก

ดังนั้น ถ้าคุณพยายามที่จะหาเงินให้ได้มากขึ้น แต่สุดท้ายก็ได้เงินเท่าเดิม

สวัสดิการสังคมก็อาจจะสร้างกำแพงชนชั้นทำให้ คนมีรายได้น้อยก็ยังมีรายได้น้อยเหมือนเดิมก็เป็นได้

และสนับสนุนให้คนอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร

แต่ UBI จะไม่ถูกตัดไป ดังนั้น การมีงานทำ และมีรายได้เพิ่มเติม ทำให้ฐานะเราดีขึ้นเสมอ

ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คนทำงาน

แทนที่เราจะสร้างกำแพงแบ่งชนชั้นกลายเป็นว่าเราสร้างบันได ช่วยให้คนมีรายได้น้อยยกฐานะตัวเองให้เพิ่มขึ้นได้ง่าย

ถึงแม้ว่า UBI จะเป็นแนวทางที่ดีกว่า แต่ว่ามันจะปฏิบัติได้จริงหรือ?

มันจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือไม่?

ราคาสินค้าจะไม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ สถานการณ์เป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า?

แต่เนื่องจาก เราไม่สามารถเสกเงินขึ้นมาได้เฉยๆ ดังนั้นเงินจึงต้องมาจากที่ไหนซักแห่ง

มันจะเหมือนกับการเคลื่อนย้ายเงิน มากกว่าการสร้างเงินขึ้นมาเพิ่ม

ดังนั้นเงินก็จะไม่เฟ้อ

แล้วเราจะเอางบประมาณจากไหนมาทำล่ะ?

มันไม่มีคำตอบที่แน่ชัดหรอก เพราะว่าโลกนี้มีความหลากหลายมากเกินไป

ประเทศจะร่ำรวยขึ้นได้อย่างไร? คุณค่าของพื้นที่นั้นๆ คืออะไร?

นโยบายต่างๆ เช่น การเพิ่มภาษีในอัตราสูงๆ หรือการตัด งบประมาณของกองทัพจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?

สวัสดิการที่รัฐมีให้นั้น มีมากพอรึเปล่า? และมีประสิทธิภาพแค่ไหน?

แต่ละประเทศมีแนวทางของตนเอง ในการพัฒนาสู่ UBI

แนวทางที่ง่ายที่สุดในการจ่าย UBI คือการยุติสวัสดิการสังคม ทั้งหมดแล้วนำเงินส่วนนั้นมาจ่ายให้ประชาชน

นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลหายไป ซึ่งจะ ทำให้มีเงินเหลือมากขึ้น แต่มันอาจทำลายระบบราชการ

ในอีกแง่หนึ่ง การตัดสวัสดิการเหล่านั้น อาจทำให้ คุณภาพชีวิตของหลายๆ คนแย่ลงกว่าเดิม

ถ้าหากเป้าหมายคือการสร้างรากฐานให้ทุกๆ คน ก็จำเป็นต้องมีการจัดการบางอย่าง เพราะว่าในประเทศ…

คนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน

ในอีกทางหนึ่ง ภาษีที่สูงๆ จะถูกเก็บจากคนที่ร่ำรวยมากๆ

ดังตัวอย่างในอเมริกา มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่นั้นตกสู่คนที่ร่ำรวยแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์

ช่องว่างทางความมั่งคั่งกำลังขยายตัวกว้างออกไปเรื่อยๆ

และหลายๆ คนก็ให้เหตุผลว่านี่อาจเป็นเวลา ที่จะกระจายความเท่าเทียมกันเพื่อเพิ่มความสงบสุขแก่สังคม

ภาษีอาจจะถูกคิดจากการทำธุรกรรม, เงินลงทุน, มูลค่าของที่ดิน, การปล่อยก๊าซคาร์บอน, หรือแม้แต่หุ่นยนต์

แต่ UBI ไม่จำเป็นจะต้องมีราคาสูง

จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า

UBI มูลค่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนในอเมริกา

สามารถเพิ่มความเจริญเติบโตของ GDP ได้ 12% ตลอดระยะเวลาแปดปี

เพราะช่วยให้คนจนได้มีการจับจ่ายมากขึ้น และทำให้อุปสงค์โดยรวมเพิ่มขึ้น

แล้วคนที่ทำงานใช้แรงงานล่ะ?

คนที่ทำงานในสวน, คนทำงานในท่อน้ำเสีย, หรือแม้กระทั่งคนยกเปียโน

ถ้าไม่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ผู้คนเหล่านั้น จะยังคงทำงานหนักและใช้แรงงานอยู่อีกไหม?

UBI อาจจะให้ผลตอบแทนที่เพียงพอแก่พวกเขาเพื่อที่จะเรียก ร้องค่าแรงที่สูงขึ้น และสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้น

จากการศึกษาพบว่า เงินค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 ดอลลาร์นั้น จะ เพิ่มมูลค่าเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจชาติเป็นจำนวน 1.21 ดอลล่าร์

ในขณะที่เงินค่าจ้างของผู้ที่มีรายได้สูงที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ดอลล่าร์ กลับเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เพียง 0.39 ดอลล่าร์เท่านั้น

คนที่มั่งคั่งมากๆ และคนที่จน ก็ยังคงมีอยู่

แต่เราสามารถกำจัดความกลัว ความทุกข์ทน และความหวั่นวิตก ที่มีอยู่ให้หายไปจากประชากรส่วนใหญ่ได้

การทำให้คนจนมีชีวิตที่ดีขึ้นอาจจะเป็นยุทธวิธี ทางเศรษฐกิจที่ดีเลยทีเดียว

แค่นี้อาจยังไม่เพียงพอ พวกเขาต้องการให้ UBI มีมากพอ ที่จะทำให้ใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลางได้

และถ้ามองข้ามอุปสรรคทางการเงินไป ไอเดียนี้คงเป็น สิ่งที่ท้าทายมาก ว่าสังคมของเราถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

เพียงหาเงินจากการทำงาน คุณได้โอกาสมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะและทางเลือกของคุณ

แต่มันเป็นการบังคับให้หลายๆ คน ให้เสียเวลาไปกับสิ่งที่พวกเขาไม่สนใจ

ในปี 2016 มีลูกจ้างชาวอเมริกัน เพียง 33% เท่านั้นที่ตั้งใจทำงานนั้นๆ

16% นั้นรู้สึกทนทุกข์กับการทำงาน และส่วนที่เหลืออีก 51% ก็แค่มาปรากฎตัวในที่ทำงานเท่านั้น

ผู้คน 67% เหล่านั้นจะหยุดทำงานหรือไม่หากพวกเขาทำได้?

มันคงไม่ยุติธรรมที่แสร้งทำงานที่แสนน่าเบื่อเหล่านั้น

งานให้บางสิ่งแก่เรา เพื่อให้เราทำมันให้ลุล่วง และมอบความท้าทายให้แก่เรา

งาน จูงใจให้เราแก้ไขปรับปรุง และบังคับให้เรามีส่วนร่วม

หลายๆ คนมีเพื่อนหรือหุ้นส่วน ก็จากที่ทำงาน เราทำงานก็เพื่อ สถานะทางสังคม ความมั่งคั่ง และที่ของเราบนโลกใบนี้

เรามองหาบางอย่างที่จะทำด้วยชีวิตของเรา และสำหรับหลาย คน งานให้ความหมายในชีวิตแก่พวกเขา

แต่ก็ยังมีความกังวลอื่นๆ เกี่ยวกับ UBI อีก

ถ้าสวัสดิการทั้งหมดที่มี จะถูกเปลี่ยนเป็นเงินเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้อาจส่งผลต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก

โครงการเดี่ยวๆ เหล่านี้ง่ายที่จะโจมตี หรือล้มเลิกมากกว่าโครงการที่หลากหลาย

หรือคนดังๆ อาจจะสร้างอำนาจจากการให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเปลี่ยนแปลงด้าน UBI

และเมื่อพูดถึงประเด็นความเท่าเทียม UBI ก็ไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น การเช่าห้อง

1,000 ดอลล่าร์อาจจะเช่าห้องดีๆ ได้ในแถบชนบท แต่ในแถบค่าครองชีพสูง อาจไม่เป็นเช่นนั้น

ซึ่งจะส่งผลให้คนจนย้ายออกไป และก็เกิด ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนขึ้นมาอีก

และรุนแรงมากยิ่งขึ้น

และแน่นอน แนวคิดที่ว่าการทำงานไม่จำเป็นสำหรับ การดำรงชีพนั้น อาจเป็นสิ่งที่แย่สำหรับบางคน

บทสรุป

แนวคิดเงินค่าครองชีพพื้นฐานเป็นสิ่งที่ดีรึเปล่า? คำตอบสั้นๆ คือ ยังไม่รู้

ยังคงจำเป็นต้องมีการค้นคว้าอีกมาก และต้องทดลองในระดับที่ใหญ่ขึ้นอีกมาก

เราจำเป็นต้องคิดว่า เราต้องการ UBI แบบไหน และเรา จะยกเลิกสิ่งไหน เพื่อนำเงินนั้นไปจ่ายเป็น UBI

แนวคิดนี้มีศักยภาพสูงมาก และมันอาจเป็นต้นแบบที่ดี ในการกำจัดความยากจนอย่างยั่งยืน

มันอาจช่วยลดความสิ้นหวังในโลกนี้ได้อย่างจริงจัง และทำให้เราคลายความกังวลลงได้มาก

วีดีโอนี้ จัดทำขึ้นได้ด้วย

เงินค่าครองชีพพื้นฐาน (UBI) ที่ได้รับจากคุณผู้ชมของเรา

กว่าหนึ่งหมื่นคนทั่วโลก ให้ของขวัญเราด้วยเงินสนับสนุน รายเดือน บนเว็บไซต์ patreon.com/Kurzgesagt

คุณทำให้เราได้จ่ายค่าจ้าง และซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ คุณทำให้เราได้ผลิตวีดีโอใหม่ๆ ออกมา

และคุณทำให้เราได้ใช้เวลากับวีดีโอเหล่านี้มากขึ้น

Kurzgesagt คงไม่มีอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ หากไม่มีความช่วยเหลือจากคุณ

การช่วยเหลือของคุณทำให้เราเป็นอิสระ และคุณได้มอบ อิสรภาพให้เราเลือกคุณภาพ มากกว่าปริมาณ

ขอบพระคุณอย่างสูง

บรรยายไทยโดยชุมชน YouTube และ Chalermkiat Lertnittiyanam ร่วมตรวจสอบคำบรรยายไทยโดย ytuaeb sciencemath