ปลอดภัยและเสียใจ - การก่อการร้ายและการตรวจสอบข้อมูลขนาดใหญ่ | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

การก่อการร้ายเป็นสิ่งที่น่ากลัว โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดใกล้กับบ้าน

และไม่ใช่บางสถานที่ห่างไกล

ไม่มีใครอยากกลัว เราจึงต่างอยากทำให้ความกลัวหายไป

เราเลยเรียกร้องความปลอดภัยที่แน่นหนาขึ้น

ในทศวรรษที่ผ่านมา มันกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นที่…

…เสรีภาพพลเมืองถูกบั่นทอนและการที่หน่วยงานของรัฐสอดแนมประชาชน

เพื่อเก็บและบันทึกข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา

ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับนโยบายแบบฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย

เราต่างได้รับผลกระทบ

เพราะอย่างนั้นเราต้องมองไปยังข้อมูลที่มีและถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

“ทั้งหมดนี้ ทำให้เราปลอดภัยขึ้นจริงหรือ?”

ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ 9/11 รัฐบาลสหรัฐฯ สรุปว่า

กฏหมายที่มีอยู่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน

จึงได้ก่อตั้งโครงการเฝ้าระวังผู้ก่อการร้ายขึ้น

โดยเริ่มด้วยสกัดกั้นการสื่อสารที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์

เจ้าหน้าที่ทางการมีความมั่นใจว่า หากมีโครงการนี้ก่อตั้งก่อนเหตุการณ์ 9/11

การจี้เครื่องบินจะสามารถถูกหยุดได้

แต่ไม่นาน อำนาจใหม่นี้ได้ถูกใช้เพื่อพิสูจน์ความผิด โดยหลากหลายองค์กร

FBI ใช้ข้อมูลผู้ย้ายถิ่นฐานเพื่อเจาะจง

ต่างชาติอาหรับและมุสลิมในสหรัฐฯ

การกระทำดังกล่าวทำให้บุคคลร่วม 80,000 คนต้องเข้าลงทะเบียน

อีก 8,000 ถูกเรียกสัมภาษณ์โดย FBI

และกว่า 5,000 ถูกกักขังในสถานกักกัน

ทว่า ไม่พบผู้ก่อการร้ายสักคน ในสิ่งที่ถูกเรียกว่า…

…การรวบรวมข้อมูลชาติพันธุ์ระดับชาติที่รุนแรงที่สุด

นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

เราจะเห็นว่ามันกลายเป็นเรื่องธรรมสามัญอย่างไรสำหรับหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่ได้เริ่ม..

..เก็บและบันทึกข้อมูลส่วนตัวของประชาชน

ซึ่งได้ถูกตีแผ่ด้วยจากเอกสารปล่อยข่าวของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนในปี 2556

เอกสารได้แสดงให้เห็นว่า NSA สามารถเรียกขอข้อมูล…

เกี่ยวกับผู้ใช้จากบริษัทอย่าง ไมโครซอฟท์ หรือ กูเกิล

โดยเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลประจำวันจากการใช้อินเทอร์เน็ตของพลเรือน

อย่างเช่น เนื้อหาในอีเมล์ หรือ รายชื่อผู้ติดต่อ

จึงเห็นได้ว่า แทนที่จะสนใจในตัวอาชญากร

รัฐบาลกำลังเปลี่ยนมาสนใจทุกคนมากขึ้น

แต่ถ้าคุณสำหรับงมเข็มในมหาสมุทร

การขยายมหาสมุทรมันไม่ได้ช่วยให้หาเข็มได้ง่ายขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ความสำเร็จล่าสุดทั้งหมดที่ประกาศโดย NSA

มาจากการเฝ้าระวังเป้าหมายแบบดั้งเดิม

ทั้งๆ ที่ตั้งความหวังไว้สูง โครงการเฝ้าระวังของ NSA…

…ไม่เคยหยุดการก่อความรุนแรงสำคัญได้เลย

ตัวอย่างเช่น หนึ่งในมือระเบิดที่ก่อการในงาน บอสตัน มาราธอน ผู้ซึ่งถูกตั้งเป็นเป้าหมายของ FBI ไว้แล้ว

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ข้อมูลไร้แบบแผนที่มากขึ้น

แต่เป็นวิธีในการเข้าใจและใช้ข้อมูลที่มีอยู่ให้ดีขึ้น

องค์กรสายลับยังผลักดันให้มีการทำลายการเข้ารหัส

ต้นปี 2559 FBI ได้ขอให้บริษัทแอปเปิล สร้างโปรแกรมที่มีรูรั่วลับทิ้งไว้

เพื่อใช้ปลดล็อคการเข้ารหัส iPhone ของผู้ก่อการร้าย

แอปเปิลแถลงการปฏิเสธต่อสาธารณะ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ว่ามันจะเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ถาวรเพื่อ…

…ลดทอนความเป็นส่วนตัวต่อพลเมืองผู้ปฏิบัติตามกฎหมายทั่วโลกเท่านั้น

แต่เพราะความกังวลที่จะกลายเป็นเปิดทางให้หน่วยงานรัฐเข้าถึง…

…เทคโนโลยีที่ใช้โดยคนมากกว่าพันล้านคน

ซึ่งคือความกังวลของเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัสและความปลอดภัย

แต่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา FBI ได้เปิดเผยว่าพวกเขาทำการเจาะโทรศัพท์ด้วยตนเอง

นั่นคือการยอมรับว่าพวกเขาโกหกต่อสาธารณะชนเรื่องความต้องการโปรแกรมที่มีรูรั่ว

สิ่งนี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือขององค์กรสายลับ

ในหัวข้อของความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยกตัวอย่าง การที่ NSA ได้มีศักยภาพอยู่แล้วในการ…

…เปิด ไมโครโฟนของ iPhone หรือ การเปิดกล้องของเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาของคุณ

โดยที่คุณไม่ทันสังเกต

ความกังวลในส่วนนี้ มักถูกโต้แย้งอยู่เป็นประจำว่า…

“ถ้าคุณไม่ได้มีอะไรต้องซ่อน คุณไม่จำเป็นต้องกลัว”

การใช้เหตุผลแบบนี้เพียงแต่จะสร้างบรรยากาศการกดขี่

ความต้องการในการปิดเรื่องส่วนตัวบางส่วน

ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังทำอะไรผิด

ในขณะนี้ เราอยู่ในโลกของประชาธิปไตย

แต่ลองนึกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นโดยผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะดูแล สามารถก่อให้เกิดกับทั้งหมดข้อมูลของเรา

แถมยังเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ของเราได้อีกอย่างง่ายดาย

กฏหมายต่อต้านการก่อการร้ายอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สืบสวนและลงโทษ

ความผิดที่ไม่ได้เกี่ยวกับการก่อการร้ายได้รุนแรงขึ้น

ถ้าคุณให้เครื่องมือที่ทรงพลังแก่ผู้รักษากฏหมายแล้ว พวกเขาจะใช้มัน

นั่นคือสาเหตุว่าทำไมความผิดพลาดที่ไม่ทันสังเกตุของประชาธิปไทยมีความสำคัญ

ถึงแม้เครื่องมือและกฏหมายยังไม่ได้ถูกใช้กับคุณวันนี้

อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้

ยกตัวอย่าง หลังจากเหตุการณ์โจมตีปารีสพฤศจิกายน 2558

ฝรั่งเศสได้เพิ่มกฏหมายต่อต้านก่อการร้ายที่ซึ่งเข้มงวดอยู่แล้ว

โดยให้อำนาจกับผู้บังคับกฏหมายมากขึ้นในการจัดการการจู่โจมบ้าน

และทำการจับกุมบุคคลให้บ้านได้

ภายในไม่กี่สัปดาห์ หลักฐานชี้ให้เห็นว่าอำนาจเหล่านี้ถูกใช้

ผิดไปจากจุดประสงค์ เช่น การปราบผู้ชุมนุมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รัฐบาลสเปน ฮังการี และโปแลนด์

ได้เสนอกฏหมายที่จำกัดเสรีภาพในการรวมตัวและการปราศัยมากขึ้น

เสรีภาพในการแสดงความเห็นและสื่อในตุรกีเอง

ถูกลดทอนอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

โดยผู้คนจำนวนหนึ่งถูกตัดสินจำคุกเพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

ไม่มีสิ่งไหนเหล่านี้เลย ที่ช่วยเราต่อสู้กับการก่อการร้ายอย่างมีประสิทธิภาพ

แรงบันดาลใจเบื้องหลังในเรื่องนี้อาจจะดี แม้กระทั่งสูงส่ง

แต่ถ้าเราปล่อยให้รัฐบาลที่เราเลือกตั้ง มาจำกัดเสรีภาพส่วนตัวของเรา

ในเวลานั้นผู้ก่อการร้ายกำลังได้รับชัยชนะ

อะไรที่แย่ไปกว่านั้น ถ้าหากเราไม่ระมัดระวัง

เราอาจจะกำลังกลายเป็นรัฐแห่งการเฝ้าระวังอย่างช้าๆ

ข้อมูลนั้นชัดเจน: การลดทอนสิทธิ์ ควบคู่กับการสอดส่องหมู่แบบนี้

ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญจนถึงตอนนี้

แต่มันได้เปลี่ยนธรรมชาติของสังคมเรา

การก่อการร้ายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน

ที่ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาอย่างเรียบง่าย

ไม่มีระบบความปลอดภัยไหนจะหยุดยั้งคนไม่กี่คน

จากการสร้างระเบิดในห้องใต้ดินได้

เราควรระลึกถึงหลักการของความพอเหมาะพอควร

การสร้างกุญแจที่เข้าถึงมือถือคนหลายล้านคนได้

ไม่เหมือนกับการค้นบ้านหลังเดียว

ประเทศส่วนใหญ่มีกฏหมายที่อนุญาตการกระทำมากมาย

รวมไปถึงการเฝ้าระหว่างแบบเจาะจง

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดของศักยภาพที่เรามีอยู่

พวกเราต้องการความร่วมมือระดับนานาชาติที่ดีกว่านี้

และความปลอดภัยกับนโยบายต่างชาติที่มีประสิทธิภาพกว่านี้

การประยุกต์ใช้กฏหมายปัจจุบันที่ดีขึ้น แทนที่จะร่างกฏหมายใหม่ที่เข้มงวด

ที่ลดทอนเสรีภาพมากขึ้น

อย่าทำให้ความกลัวมาทำร้ายสิ่งที่เราภาคภูมิใจที่สุด

ประชาธิปไตย สิทธิ์และเสรีภาพพื้นฐานที่เราพึงมึ

วิดีโอนี้เกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนของคุณที่ Patreon.com

และแพตฟอร์มเสรีภาพยุโรป: European Liberties Platform http://www.liberties.eu

คำบรรยายต้นฉบับจาก Amara.org และชุมชน YouTube