ใครเป็นผู้ทำให้เกิดโลกร้อน? แล้วใครควรจะรับผิดชอบ? | Kurzgesagt

🎁Amazon Prime 📖Kindle Unlimited 🎧Audible Plus 🎵Amazon Music Unlimited 🌿iHerb 💰Binance

วิดีโอ

สรุป

ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

มนุษย์ได้ปล่อยมากกว่าหนึงล้านห้าแสนล้านตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ออกมา

เข้าสู่ขั้นบรรยากาศโลก

ในปี ค.ศ. 2019(พ.ศ.2562)

เราได้ปล่อยเพิ่มมาอีกถึง สามหมื่นเจ็ดพันล้านตัน

ซึ่งนั่นมากขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)

และเกือบสามเท่าของห้าสิบปีที่แล้ว(พ.ศ. 2513)

และไม่ใช่แค่คาร์บอนไดออกไซด์

เรายังคงปล่อยเพิ่มขึ้นในเรื่องก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆ

อย่างเช่นมีเทน และไนตรัสออกไซด์

รวมก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด

เราปล่อยห้าหมื่นหนึงพันล้านตันเมื่อเทียบเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อปี

และ อัตราการปล่อยก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่มันจำเป็นต้องลดลงให้เหลือศูนย์

ในปีที่ผ่านมา ผลกระทบนั้นรุนแรงขึ้นและเห็นได้ชัดเจนขึ้น

และเกือบทุกปี ก็สร้างสติถิใหม่ในด้านที่ไม่ค่อยดี

เราเจอคลื่นความร้อนเยอะขึ้น

เจอธารน้ำแข็งละลายมากที่สุด

และพบน้ำแข็งจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาในขั้วโลกเหนือ

จากช่วง 25 ปีล่าสุด

20 ทำลายสติถิร้อนที่สุด

วิธีเดียวที่จะระงับสภาพอากาศแปรปรวนนี้

คือการลดจำนวนการปล่อยสะสม อย่างเร็วที่สุด

แต่ถึงแม้ทุกประเทศจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ในขึ้นพื้นฐาน

พวกเขาก็ตกลงกันไม่ได้ว่าใครเป็นคนผิด

หรือใครควรจะรับภาระมากที่สุด

ประเทศที่พัฒนาแล้วก็บอกว่าตัวเองช่วยแล้ว

และข้อเท็จจริงว่าประเทศใหญ่ที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะจีน

กำลังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากกว่า

ในขณะเดียวกัน

ประเทศกำลังพัฒนาเถียงว่า ที่ปล่อยจากประเทศทางตะวันตก มาจากของไม่จำเป็น

แต่สำหรับประเทศกำลังพัฒนา

มาจากการดำรงชีพ

บางคนเรียกประเทศที่รวยว่าสร้างภาพ

และรวยได้จากการสร้างมลพิษโดยไม่ยั้ง

แล้วหวังว่าประเทศอื่นจะไม่พัฒนาอุตสาหกรรม

และจนต่อไป

แล้วตกลง

ใครกันที่เป็นผู้ทำให้โลกร้อนและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์?

และ ถ้าไม่นับอดีต

ใครจะต้องรับภาระมากสุดในปัจจุบัน?

ในวีดีโอนี้

เราจะเน้นเกี่ยวกับประเทศมหาอำนาจ

เราจะพูดถึงอุตสาหกรรมน้ำมัน ในวีดีโออื่น

คำถามที่หนึ่งจากสาม

ประเทศไหนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากสุดในปัจจุบัน?

ใน ค.ศ.2017(พ.ศ. 2560)

มนุษย์ปล่อยประมาณสามหมื่นหกพันตันด้านก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

กว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์มาจากเอเชีย

อเมริกาเหนือและยุโรปตามมาด้วยสิบแปดเปอร์เซ็นต์ และ สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์

โดยแอฟริกา อเมริกาใต้ และโอเชียเนีย รวมกัน

นับเป็นแค่เจ็ดเปอร์เซ็นต์

จีนเป็นผู้ปล่อยที่เยอะสุด

ปล่อยหนึ่งหมื่นตันของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

คิดเป็นยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของที่ปล่อยทั้งโลก

ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ที่สิบห้าเปอร์เซ็นต์

และสหภาพยุโรปที่ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์

รวมกันแล้ว นี่คิดเป็นมากกว่าครึ่งของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลก

จึงเห็นได้ชัดว่าถ้าไม่มีความร่วมมือของสามกลุ่มอุตสาหกรรมนี้

มนุษย์จะไม่สามารถหยุดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

และหยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง

ต่อมาในรายการคืออินเดียที่เจ็ดเปอร์เซ็นต์

รัสเซียที่ห้าเปอร์เซ็นต์

ญี่ปุ่นที่สามเปอร์เซ็นต์

และอิหร่าน

ซาอุดิอาราเบีย

เกาหลีใต้

และแคนาดา

ทั้งหมดต่ำกว่าสองเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น

รวมกับสามอันดับแรก

สิบอันดับสูงสุดนับเป็นเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของการปล่อยทั้งโลก

แต่ถ้าเรามองเฉพาะปัจจุบัน

เราก็ไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด

คำถามที่สองจากสาม

ประเทศไหนปล่อยสะสมมามากที่สุด?

ถ้าเรามองการปล่อยตลอดประวัติศาสตร์มาถึงปัจจุบัน

ภาพรวมเปลี่ยนไปอย่างมาก

ทั้งอเมริกาและยุโรปดันจีนไปจากอันดับสูงสุด

อเมริกานับเป็นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของการปล่อยตลอดประวัติศาสตร์

ปล่อยออกมาสี่แสนล้านตัน

ส่วนใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ

ในอันดับที่สองคือสหภาพยุโรป

ที่ยี่สิบสิบเปอร์เซ็นต์

จีนมาในอันดับที่สาม

ที่ประมาณสิบสามเปอร์เซ็นต์

ประมาณครึ่งหนึ่งของอเมริกา

อินเดียลดเหลือแค่สามเปอร์เซ็นต์

เช่นกันกับอเมริกา และอเมริกาใต้

อังกฤษคิดเป็นหนึงเปอร์เซ็นต์ของการปล่อยต่อปี

แต่เป็นห้าเปอร์เซ็นต์ ของการปล่อยตลอดประวัติศาสตร์

เยอรมันนีปล่อยสองเปอร์เซ็นต์ต่อปีในปัจจุบัน

ได้ปล่อยรวมเกือบหกเปอร์เซ็นต์

มากเทียบเท่าทั้งแอฟริกาและอเมริกาใต้รวมกัน

ดังนั้นแนวคิดที่ว่าสภาพอากาศแปรปรวนจริงๆเป็นความผิดของประเทศที่กำลังพัฒนานั้น

มันยากที่จะไปเชื่อได้

ถ้าข้อเท็จจริงสำคัญสำหรับคุณ

แต่นี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องทั้งหมด

เพราะการสนใจแค่ประเทศ

เป็นการผสมสองอย่าง

คือจำนวนประชากร

และการปล่อยทั้งหมด

ถ้าประเทศมีคนมากกว่า

การปล่อยนั้นก็ควรจะมากกว่า

มันจะต่างกันเลย

ถ้าเรามองที่ต่อคน

เหมือนคุณ ท่านผู้ชม

คำถามที่สามจากสาม

ประเทศไหนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดต่อหนึ่งคน?

คนทั้วไปปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณห้าตันต่อปี

แต่ค่าประมาณนั้น อาจนำไปสู่การสรุปที่ผิด

ประเทศที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อบุคคลมากที่สุด

คือผู้ผลิตน้ำมันและแก๊สธรรมชาติรายใหญ่ของโลก

ในค.ศ.2017(พ.ศ.2560) กาตาปล่อยต่อบุคคลมากที่สุด

ที่เลขสูงถึงสี่สีบเก้าตันต่อคน

ตามมาด้วยตรีนีแดดและโตแบคโก

คูเวต

อาหรับเอมิเรต

บรูไน

บาเรน

และซาอุดิอาราเบีย

แต่พวกนี้นั้นอยู่คนละระดับ

ออสเตรเลียมีการปล่อยต่อคนมากอยู่

สิบเจ็ดตันต่อปี

นั่นสูงกว่าสามเท่าของค่าเฉลี่ยโลก

และมากกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาและแคนาดา

ที่สิบหกตัน

เยอรมันนีนั้นดีขึ้นหน่อยที่ประมาณสิบตัน

แต่นั่นก็ยังเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยโลก

จีนอาจเป็นประเทศที่ปล่อยเยอะที่สุด

แต่ก็เป็นประเทศที่ประชากรเยอะที่สุด

มีมากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน

สิบแปดจุดห้าเปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก

ต่อคน มันมากกว่าค่าเฉลี่ย อยู่ที่เจ็ดตัน

จากประวัติสาศตร์ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตที่ดี

ความร่ำรวยเป็นตัวบ่งบองที่ชัดเจนของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของเรา

เพราะเมื่อเราเปลี่ยนจากจนไปรวย

เราสามารถเข้าถึงไฟฟ้า ความร้อน เครื่องปรับอากาศ เตาไฟฟ้า

รถและเครื่องบิน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์

และการติดต่อกับคนทั่วโลกออนไลน์

การพุ่งขึ้นสูงของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของจีน

มาพร้อมกับการลดลงของความจนครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์

ถ้าเราแยกการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยรายได้

เราเห็นว่าครึ่งที่รวยของแต่ละประเทศ

เป็นผู้ปล่อยกว่าแปดสิบหกเปอร์เซ็นต์ของการปล่อยทั้งโลก

และครึ่งล่าง

คิดเป็นแค่สิบสี่เปอร์เซ็นต์

คนเยอรมันนีปล่อยเฉลี่ยต่อคนมากกว่าห้าเท่าของอินเดีย

ในสองจุดสามวัน

คนอเมริกาทั่วๆไป

ปล่อยมากถึงที่คนไนจีเรียปล่อย ในหนึ่งปี

และไม่เพียงแค่นั้น

ความจริงที่โหดร้ายคือประเทศที่ปล่อยก๊าซน้อยที่สุด

จะเสียหายมากที่สุดจากสภาพอากาศแปรปรวน

ประเทศกำลังพัฒนาจะโดนผลหนักที่สุด

ผลกระทบอาจเป็นการขาดแคลนอาหาร

แก่งแย่งทรัพยากร

การรุนแรงและถี่ขึ้นของภัยธรรมชาติ

และการอพยพหนีสภาพอากาศจำนวนมาก

คำถามที่สี่

จากสาม

ตกลงใครมีหน้าที่รับผิดชอบ?

หลายประเทศในกลุ่มที่รวยที่สุดอยู่ในจุดที่สะดวกสบาย

พวกเขารวยจากหลายศตวรรษแห่งการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลและงานอุตสาหกรรม

พวกเขาปล่อยเยอะในตลอดทั้งประวัติศาสตร์

และความรวยนั้น ก็หมายความว่าพวกเขายังปล่อยเยอะต่อบุคคล

แต่การปล่อยต่อปีของพวกเขา ดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

เพราะจีนนั้นกำลังตามหลังมา

และอินเดียก็ใกล้มาเช่นกัน

ชาวเยอรมันนี่หลายคน เป็นต้นนั้น

สงสัยว่าถ้าเฉพาะเยอรมันนีปล่อยแค่สองเปอร์เซ็นต์ต่อปี

มันจะมีผลเยอะต่อการลดการปล่อยหรือ

คำตอบง่ายนิดเดียว

อย่างแรก ประเทศที่รวยมีทรัพยากร

แรงงานที่มีความรู้และเทคโนโลยี

ที่จะพัฒนาทางเลือกราคาถูกที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย

และแจกจ่ายมันไปทั่วโลก

ถ้าเราไม่อยากให้ประเทศที่จนกว่าพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเหมือนที่เราทำ

เราก็ต้องพัฒนาทางเลือกสะอาดที่ถูกและเข้าถึงได้

และเราก็กำลังทำอย่างงั้น

ราคาพลังงานทดแทนนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

และทางเลือกหลายรูปแบบก็กำลังมาสำหรับหลากบริเวณ

แต่มันต้องเกิดขึ้นเร็วกว่านี้เยอะ

ถ้าประเทศที่รวยด้านตะวันตก ตัดสินใจจะจัดการปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน

ประเทศที่เหลือก็จะทำตาม

เพราะมันไม่มีตัวเลือกอื่น

เหมือนเมื่อตอนสหภาพยุโรปบังคับใช้มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของเทคโนโลยี

ส่วนต่างๆของโลกก็ทำตาม

เพราะพวกเขายังอยากที่จะค้าขายกับกลุ่ม

แต่นี่ก็ไม่ได้ลบความผิดชอบของประเทศอื่น

ประเทศจีนยังเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่สุดในปัจจุบัน

และมันเป็นความรับผิดชอบของจีนที่จะพัฒนาไปในทางที่จะช่วนลดการปล่อยคาร์บอนได้ทันเวลา

คนอื่นก็ทำตัวไร้ความรับผิดชอบในอดีต

เป็นข้ออ้างที่แย่มากสำหรับการทำผิดซ้ำอีกในปัจจุบัน

โลกร้อนเป็นปัญหาระดับโลก

และไม่มีประเทศใดเดี่ยวๆที่จะซ่อมไหว

การหาคนผิดนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่เห็น

และในมุมมองหนึ่ง มันก็เป็นคำถามที่โง่มาก

แต่เป็นอันที่กวนการเมืองระดับประเทศมาเป็นสิบๆปี

สุดท้ายแล้ว มันง่ายมาก

ทุกคนควรทำมากที่สุดเท่าที่ทำได้

และปัจจุบัน เรานั้นยังไม่ได้ทำอย่างงั้น

แต่เราเริ่มได้

วันนี้

วีดีโอนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดวีดีโอที่สนับสนุนโดย เบรกค์ทรู แอเนอร์จี้

การร่วมมือที่ก่อตั้งโดยบิล เกต เพื่อพัฒนาการลงทุนในพลังงานสะอาด

และสนันสนุนเทคโนโลยีที่จะพาโลกไปสู่การหยุดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

และขอขอบคุณที่ของ อาวเวอร์เวิลอินเดต้า

สำหรับที่ช่วยด้านข้อมูลและการวิจัย

[เสียงเพลง]